มันจบแล้วครับนาย ความหวังในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของอาร์เซน่อล

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 24 พ.ค. 2566 22:13:15 น. เข้าชม 510 ครั้ง

  1. มันจบแล้วครับนาย ความหวังในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของอาร์เซน่อล



    หมดลุ้น 100%
    หมดหวังกับการลุ้นแชมป์
    หมดใจกับฟอร์มการเล่น
    จ่าฝูง 248 วันไม่ช่วยอะไร 
    คิดแทนแฟนๆ ไอปืนใหญ่ แล้วมันก็น่าเจ็บปวดจริงๆ

    หลังสิ้นสุดเสียงนกที่หวีดของแอนโทนี่ย์ เทย์เลอร์ ที่ซิตี้ กราวน์ มีสองเหตุการณ์สำคัญของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ เกิดขึ้น


    1. น็อตติ้งแฮมป์ ฟอร์เรสต์ ทีมเจ้าป่าเน้นทุ่มไกล รอดตกชั้น 100%
    2. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-2023 อย่างเป็นทางการ
    ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงแข่งเลยด้วยซ้ำ


    ต้องบอกว่าเกมเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ต้องชื่นชมทีมเจ้าป่าจริงๆ ที่ทำได้ดีกว่า
    ผู้มาเยือนในหลายๆจังหวะ

    คือพอขึ้นนำ 1-0 จากความผิดพลาดของผู้มาเยือน น็อตติ้งแฮมป์ ฟอร์เรสต์
    เล่นเกมรับเหนียวแน่น นักเตะมีวินัย ไม่มีสมาธิหลุดเลย วิ่งสู้ฟัด เน้นทุกจังหวะการเล่น 

    ในขณะที่ผู้มาเยือน อาร์เซน่อล ลองแท็คติกส์สุดบ้าบอที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะเห็น
    ในเกมส์สุดสำคัญ ที่ยังมีความหวังแม้มันจะหริบหรี่สุดๆ ก็ตาม
    เหมือนกำลังจะบอกให้ชาวโลกได้รู้ว่าตรูถอดใจแล้ว ไม่ลุ้นแล้วแชมป์พรีเมียร์ลีก 

    คือโดยปกตินั้น ทีมปืนใหญ่จะเล่นในระบบ 4-1-2-3 ซึ่งทำได้ดีมาตลอดทั้งฤดูกาล
    แต่เกมกับฟอร์เรสต์ นั้น มิเกล อาร์เตต้า พยายามทำเหมือนตัวเองเป็น
    เป๊ป กวาร์ดิโอล่าคนที่สอง ส่งสองกองกลางที่เล่นดีที่สุดในฤดูกาลนี้ 
    เป็นฟูลแบ็คทั้งสองข้างหวังจะให้ทดลองเล่นเป็นตัว Inverted แบบทีมเรือใบสีฟ้า

    กรานิต ชาก้า ยืนฝั่งซ้าย ส่วนโทมัส ปาร์เตย์ ฝั่งขวา เหมือนกำลังทดลองเล่นในระบบ
    4-2-1-3 หรือ 3-3-1-3 ยังไงอย่างนั้น 

    คือพอเปลี่ยนระบบการเล่นปุ๊บ ระบบการเล่นของทีมมันก็รวนไปหมด
    เกมรุกที่เคยดุดันก็หายไปดื้อๆ กลายเป็นว่า ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแท็คติกส์นี้
    คือผู้เล่นกองหลัง และกองกลาง จะวิ่งสลับตำแหน่งมั่วกันไปหมด 

    เดี๋ยวชาก้าหุบเข้ากลางมั่ง ปาร์เตย์ หุบเข้ากลางมั่งยืนใกล้ๆ กับจอร์จินโญ่

    ผู้เล่นแนวหลังถึงแนวกลางส่งบอลไปมาจนได้แต่เปอร์เซนต์การครองบอลที่สูงมากกว่า 80% แต่ไม่สามารถเจาะเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายของทีมเจ้าป่าได้เลย 



    4 ตัวรุกของอาร์เซน่อล ทั้ง มาร์ติน โอเดการ์ด บูคาโย่ ซาก้า กาเบรียล เชซุส และ

    เลอันโดร ทรอซซาร์ ผลงานเงียบกริบ เชื่อมกับกองกลางไม่ได้ และหมดไอเดียการเข้าทำ

    ได้แต่แปะบอลคืนหลัง พลิกเอง เล่นเองก็ทำได้ไม่ถนัด กลายเป็นเกมรุกสุดทื่อที่ไร้พิษสงค์ในการเจาะประตูทีมเจ้าป่า



    และผลจากความพ่ายแพ้ในนัดนี้ก็ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-2023 อย่างเป็นทางการ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงแข่งเลยด้วยซ้ำ


    บอกเลยงานนี้หวานเจี๊ยบจริงๆ สบายกว่าที่คาด หลังไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล ส่งมอบถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบง่ายดาย 


    เอาแชมป์ไปยื่นให้แบบถวายพานไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย ไม่มีอะไรที่ทำให้กดดันพลพรรค

    เรือใบสีฟ้าได้เลย เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ง่ายดายสุดๆ ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

    เมื่อเทียบกับหลายๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา


    เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 5 จาก 6 ฤดูกาลหลังสุด และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของ

    เป๊ป กวาร์ดิโอล่าครั้งที่ 11 จากทั้งหมด 14 ฤดูกาลที่เป็นผู้จัดการทีม 


    การครองตำแหน่งจ่าฝูงของอาร์เซน่อล เป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดฟุตบอลอังกฤษ มากถึง 248 วันนั้น มันไม่ช่วยอะไร อาร์เซน่อลอาจจะมีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยม ในสายตาของใครหลายๆ คน แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันก็คือว่าทีมปืนใหญ่

    มีทรัพยากรที่จำกัดจริงๆ เมื่อเทียบกับทีมแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

    การทดแทนกันของผู้เล่น ยังทำได้ไม่ดีพอ จนกลายเป็นการสะดุดขาตัวเองหัวคะมำจมลงกองพื้นกับผลงาน 10 นัดสุดท้ายชี้ชะตาฤดูกาลที่มันบอกได้คำเดียวว่า ไม่พร้อมจริงๆกับการเป็นผู้ท้าชิง 



    จุดเปลี่ยนแห่งฤดูกาลของอาร์เซนอลมันเริ่มต้นจาก 



    1. อาการบาดเจ็บของวิลเลี่ยม ซาลิบา
    โดยปราการหลังทีมชาติฝรั่งเศส รายนี้ คือ ผู้เล่นคนสำคัญ ที่เข้ามาเติมเต็มแผงหลังของทีมในฤดูกาลนี้ จุดเด่นของ ซาลิบา คือ อ่านเกมได้ดี เข้าปะทะแม่นยำ มีความเร็ว ลงเล่นด้วยความมั่นใจ นิ่ง แข็งแกร่ง จนเบียด เบน ไวท์ ต้องไปเล่นในตำแหน่ง แบ็คขวาแทน

    ซาลิบา จับคู่กับกาเบรียล มากัลเญส ได้อย่างลงตัว สร้างป้อมปราการสุดแข็งแกร่งให้กับทีมติดลมบนกลายเป็นจ่าฝูงมาอย่างยาวนานการจับคู่ที่ลงตัว ทำให้อาร์เซน่อล ไม่แพ้ใครและเสียประตูน้อยมากๆ แต่พอซาลิบาได้รับบาดเจ็บไป ในเกมยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ที่เปิดบ้านแพ้ให้กับสปอร์ตติ้ง ลิสบอนแผงหลังของทัพปืนใหญ่ อาร์เซน่อล ก็สั่นคลอนมาโดยตลอด และมันก็มาพังจนได้ในเกมกับลิเวอร์พูล



    2. เกมส์เสมอลิเวอร์พูล 2-2
    เกมๆนี้ คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของอาร์เซน่อลในฤดูกาลนี้ โดยตอนนั้น พลพรรคปืนใหญ่
    มีคะแนนนำทีมเรือใบสีฟ้ามากถึง 5 คะแนนและถ้าชนะเกมนั้นได้ ก็จะเป็นการโยนความกดดันไปให้ทัพเรือใบสีฟ้าแทน

    อาร์เซน่อลในวันนั้น เจอกับลิเวอร์พูลที่กำลังเมาหมัด หาทางกลับออกมาจาก
    เอติฮัต สเตเดี้ยมไม่ถูกหลังโดนถล่มแบบสู้ไม่ได้มา 4-0 ซึ่งก่อนเกมใครๆก็คิดว่า
    อาร์เซน่อล น่าจะบุกไปเอาชนะลิเวอร์พูลที่กำลังเป๋ได้ 

    แต่หารู้ไม่ว่า เกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นี่แหละที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้พลพรรค หงส์แดง ฮึดสู้และกลับมาเป็นลิเวอร์พูลทีมเดิม เป็นเครื่องจักรสังหารสีแดงที่พร้อมถล่มประตูคู่แข่งในแอนฟิลด์อีกครั้ง

    เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือหงส์แดง ทดลองแผนการเล่นใหม่ในเกมกับอาร์เซน่อล ปรับ
    เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ขึ้นมาเป็นกองกลางหมายเลข 6 เป็น Inverted 
    ฟูลแบ็คและเทรนต์ ก็ฉายแสงทันทีในเกมๆ นั้น

    อาร์เซน่อล เริ่มต้นเกมได้ดี บุกไปขึ้นนำไปถึง 0-2 ในช่วงที่อาร์เซน่อลขึ้นนำสองประตูนั้น พวกเค้า คุมเกมส์ทุกอย่างเอาไว้ได้ทั้งหมด

    แต่จุดเปลี่ยนคือ กรานิต ชาก้า คุมอารมณ์ไม่อยู่ไปมีเรื่องใส่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์
    อาร์โนลด์จนแฟนบอลเจ้าถิ่น ลุกฮือ ส่งเสียงโห่ ปลุกแอนฟิลด์ให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และหลังจากเหตุการณ์นี้ อาร์เซน่อล พอโดนตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 อาร์เซน่อล เป๋ รวน เล่นเกมของตัวเองไม่ได้ โดนลิเวอร์พูลกดอยู่ข้างเดียว จนแทบจะโงหัวไม่ขึ้นและพอถึงช่วงครึ่งหลังที่อาร์เซน่อลใช้ถุงดวงไปหมดแล้ว หลังโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ พลาด จุดโทษให้แล้วและเกมทำท่าว่าอาร์เซน่อล จะยันอยู่ เปิดยันมหาอุตคว้าชัยออกไปได้สำเร็จอยู่แล้ว 

    จนสุดท้าย ก็โดนตีเสมอในช่วงก่อนหมดเวลาไม่กี่นาที จากการโหม่งของจอมทำประตู
    ใส่อาร์เซน่อลอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และจุดเริ่มต้น ของการเสียประตูมันมาจากการที่
    เทรนต์ แตะบอลลอดขา โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ผ่านไปได้และครอสบอลจากริมเส้นเข้าไปได้สำเร็จ ซึ่งในตอนนั้น อาร์เตต้า กำลังจะเปลี่ยน คีแรน เทียร์นีย์ ลงมาเล่นแทนซินเชนโก้ อยู่แล้ว และนี่แสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจช้าไปเพียงนิดเดียว ส่งผลถึงการลุ้นแชมป์ได้เลยจริงๆ 



    3. การเสมอ 3 นัดรวด
    หลังเกมส์เสมอลิเวอร์พูล 2-2 อาร์เซน่อล เมาหมัดอย่างต่อเนื่อง บุกเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-2 ทั้งๆ ที่ขึ้นนำก่อน  2-0 แบบเดียวกับเกมเจอลิเวอร์พูลเป๊ะ! 

    จุดเปลี่ยนลูก 1-2 ที่น่าจะถูกจับแฮนด์บอลก่อนโดย ดีแคลน ไรซ์ และลูกจุดโทษที่มีโอกาสขึ้นนำ 3-1 แต่กลับยิงพลาดข้ามคานแบบหมดใจของ บูคาโญ่ ซาก้า จนสุดท้ายทีมปืนใหญ่ถูกตีเสมอ และหวิดจะแพ้กลับออกไปด้วยซ้ำ 

    นั่นทำให้ อาร์เซน่อล พลาดเป็นเกมที่สองติดต่อกัน และจะพลาดไม่ได้อีกแล้วในเกมเปิดบ้านเจอทีมบ๊วยอย่าง เซาท์แธมป์ตัน

    แต่เริ่มเกมกับทีมนักบุญมาได้ไม่ถึง 1 นาที อารอน แรมส์เดล แจกโชคให้ทีมเยือน ยิงขึ้นนำไปก่อน จนเสียรูปเกมไปหมด สุดท้ายอาร์เซน่อลไล่ตามตีเสมอหืด 3-3 ในช่วงทดเวลา
    บาดเจ็บ ไม่มีมิราเคิลหรือปาฏิหารย์ใดๆ เกิดขึ้นอีกแล้วในเกมๆนี้ 

    รอไปวัดกับทีมแชมป์เก่าเลยทีเดียวในเกมตัดสินของฤดูกาลนี้



    4. บุกแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-1
    เกมนี้ อาร์เซน่อล เริ่มต้นเกมได้ในแบบของตัวเองไล่เพรสได้ดีจนคิดว่าตัวเองเป็น
    แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ลืมตัวไปรึเปล่าว่ากำลังดวลกับต้นตำรับเพรสซิ่งฟุตบอลอยู่ 

    ทีมเรือใบสีฟ้า คือ เต้ย ในการเล่นเกมสวนกลับ ซึ่งอาร์เซน่อล พังไม่เป็นท่าตั้งแต่ไม่ถึง 
    10 นาทีแรก ร็อบ โฮลดิ้ง ที่ลงมาแทนที่ของ ซาลิบา ปล่อยให้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ของ
    แมนซิตี้ พักบอล เล่นบอล ได้ นำไปสู่การเสียประตูโดย เควิน เดอ บรอยน์
    และหลังจากถูกพังประตูขึ้นนำเร็ว รูปเกมของอาร์เซน่อลก็เสียไป กลับมาสู่เกมไม่ได้ แพ้ไปในที่สุด 4-1 

    ถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีค ที่เคยคุมชะตาชีวิตไว้ด้วยตัวเองทั้งหมด ถูกหยิบยื่นให้กับแมนเชสเตอร์ซิตี้อย่างง่ายดาย 

    ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้ขวัญและกำลังใจของนักเตะในทีมขาดหายไป
    แรงจูงใจ ไม่มีเหลือ เล่นกันแบบก้มหน้ายอมรับชะตาฟ้าลิขิต เหมือนอย่างที่ได้เห็นกันในเกมกับ น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรส

    ความรู้สึกผิดหวังที่มันประเดประดังเข้ามาในหัวของเหล่ากูนเนอร์ส ถูกปลอบประโลมโดย
    โควต้าฟุตบอล ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ที่อาร์เซน่อล สามารถกลับไปเล่นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และจะเป็นทีมเดียวในกรุงลอนดอนด้วย ที่จะได้ในถ้วยบิ๊กเอียร์ในฤดูกาลหน้า



    สุดท้ายนี้ ก็ต้องยอมรับว่าฤดูกาลนี้ ทีมปืนใหญ่อาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่าที่คาดหวังเอาไว้
    เมื่อช่วงก่อน เปิดฤดูกาลมากจริงๆ ทำได้ดีตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ แต่มันยังคงดีไม่พอสำหรับการเป็นผู้ท้าชิงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ละพอยิ่งเจอความเด็ดขาด ความแน่นอน ของทีมเรือใบสีฟ้า เข้าไปอีก แฟนๆทีมปืนใหญ่ อาร์เซน่อลก็ได้แต่ทำใจยอมรับชะตากรรมกับความสู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงและได้แต่โค้งคารวะสัก 3 จอก ให้กับทีมของเป๊ป
    กวาร์ดิโอล่า กับความสุดยอดของพวกเค้า

    ส่วนแฟนๆทีมปืนใหญ่ ก็น่าจะพูดได้คำเดียวว่า “ที่หนึ่งไม่ไหววว ชั้นเต็มใจขอเป็นแค่ที่สอง”


    และสำหรับใครที่ชอบ ข่าวบอล แบบนี้ก็ฝากติดตามทีมงาน บ้าฟุตบอล ด้วยนะครับ