การกลับสู่เวที Champions League ของนิวคาสเซิ่ล

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 26 พ.ค. 2566 22:29:30 น. เข้าชม 438 ครั้ง

Back into the "Champions League" 20 ปีที่รอคอยของสโมสร "นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด"




เฮกันสุดเสียงได้สักที สำหรับพลพรรค "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด


หลังนัดที่ 37 ของฤดูกาลที่เปิดบ้านเสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-0


การันตีโควต้าไปลุยฟุตบอลยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก


จบอันดับในพื้นที่ท็อปโฟร์แน่นอนแล้ว

ทีม "เดอะ แม็กพายส์" เหมาะสมอย่างยิ่งกับโควต้าแชมป์เปี้ยนส์ลีกที่รอคอย

พวกเค้าสมควรได้ไปเล่นในถ้วยบิ๊กเอียร์จริงๆหลังผลงานได้ดีมาตลอดทั้งฤดูกาล





และนี่เป็นการกลับไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2002-2003 ซึ่งเป็นสมัยที่

"เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน" ยังคุมทีมอยู่เลย โดยในยุคนั้น นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด นำทัพโดยยอดกัปตันทีม

ศูนย์หน้าช็อตพาวเวอร์ 99 อลัน เชียร์เรอร์  เชย์ กิฟเว่น นายประตูชาวไอริช โนลแบร์โต้ โซลาโน่

ดาวดังชาวเปรู เคร็ก เบลลามี่ ดาวรุ่งจรวดทางเรียบทีมชาติเวลส์ หรือพวกบริติช คอร์ ของทีมอย่างเจอร์เมน จีนาส คีรอน ดายเยอร์ และ โจนาธาน วู๊ดเกต


นิวคาสเซิ่ลในยุคนั้น ต่างอุดมไปด้วยนักเตะชั้นนำที่ใครได้ยินชื่อก็ต้องร้อง "อ๋อ" 


แต่จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ พลพรรค "สาลิกาดง" ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะแยะมากมาย

จากช่วงที่ทีมขึ้นสูงสุดสมัยมี อลัน เชียร์เรอร์ คอยส่องประตูคู่แข่งเป็นว่าเล่น

สู่ยุคเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเทคโอเวอร์ทีมของไมค์ แอชลี่ย์ เมื่อปี 2007

นำไปสู่หายนะทั้งในและนอกสนามมากมาย




ในยุคของ ไมค์ แอชลี่ย์ ตั้งแต่ปี 2007-2021 นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย


จากทีมที่น่าเกรงขามทางภาคอีสานของเกาะอังกฤษ


สู่ทีมที่ไร้ทิศทางมีปัญหามากมายทั้งในเชิงบริหารและการสนับสนุนงบประมาณในการทำทีม


จนผู้จัดการทีมต้องลาออกหรือไม่ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งไปไม่รู้ต่อกี่คน


มีการเปลี่ยนชื่อสนามจากชื่อระดับตำนานอย่าง "เซนส์ เจมส์ ปาร์ค" สู่ชื่อใหม่ตามผู้สนับสนุนหลักอย่าง

"สปอร์ต ไดเรค อารีน่า"ซึ่ง ไมค์ แอชลี่ย์ เป็นเจ้าของอยู่ จนสุดท้ายก็ต้องตกชั้นสู่ลีกแชมป์เปี้ยนชิพ


เมื่อฤดูกาล 2008-2009 ซึ่งถือเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุด และเป็นครั้งแรกที่ทีมตกชั้นนับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 1993 และตกชั้นไปอีกครั้งในฤดูกาล 2015-2016 ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองในยุคของ ไมค์ แอชลี่ย์ 


ผลงานและการทำทีมของ ไมค์ แอชลี่ย์ สร้างความขุ่นเคืองให้กับเหล่า "ทูน อาร์มี่" เป็นอย่างมาก

แฟนบอลออกมาประท้วงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แอชลี่ย์ เองก็เคยปักป้ายขายทีมถึงสองครั้งเมื่อปี 2009 และ 2017 ก่อนที่จะขายทีมให้กับ "กลุ่มทุนซาอุฯ" ได้สำเร็จเมื่อปี 2021 ด้วยราคา 305 ล้านปอนด์

สิ้นสุดยุคมืดของเหล่า "ทูน อาร์มี่" เสียที หลังต้องทนอยู่กับความล้มเหลวในการบริหารทีมของ

ไมค์ แอชลี่ย์มายาวนานกว่า 14 ปี




"กลุ่มทุนซาอุฯ" นี้จะประกอบด้วย


1. บริษัท พับลิค อินเวสต์เมนต์ ฟันด์ (Public Investment Fund (PIF)) ซึ่งมี โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย เป็นเจ้าของมีทรัพสินในครอบครองกว่า 320,000 ล้านปอนด์


2. บริษัท พีซีพี แคปิตอล พาร์ทเนอร์ (PCP Capital Partners) ภายใต้การดูแลของ อแมนด้า

สตาเวลีย์ นักธุรกิจหญิงที่มีชื่อเสียง


3. บริษัท อาร์บี สปอร์ต แอนด์ มีเดีย (RB Sports & Media) ซึ่งเป็นกลุ่มทุนสาธารณะ


ทั้งหมด 3 กลุ่ม ร่วมกันเทคโอเวอร์นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดโดย Public Investment Fund จะถือหุ้นทั้งหมด 80%, PCP Capital Partners ถือ 10% และ RB Sports & Media ถืออีก 10% และ

มี โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย อยู่เบื้องหลังการบริหารงานเป็นหลัก และนั่นทำให้ผลจากการเทคโอเวอร์ในครั้งนี้ทำให้ทีม "สาลิกาดง" กลายเป็นทีมฟุตบอลที่ "รวย" ที่สุดในโลก และแน่นอนว่ารวยกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ "ชีค มานชูร์" ด้วยซ้ำ


เดิมทีการเข้ามาของ "กลุ่มทุนซาอุฯ" ถูกคาดหมายว่า จะเป็นการเข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมสาลิกาดง


ด้วยการเริ่มต้นช็อปแหลกเหมือนแจกฟรี ซื้อซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังเข้ามาสู่ทีมมากมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีม


แต่สิ่งแรกที่ "กลุ่มทุนซาอุฯ" ตัดสินใจลงมือทำกลับเป็นการแต่งตั้งผู้บริหารและสต๊าฟของคนใหม่

เข้ามาสู่ทีม จ่ายค่าปลดกุนซือคนเก่าอย่างสตีฟ บรู๊ซ ออกจากตำแหน่งไปด้วยราคา 8 ล้านปอนด์

พร้อมทั้งยังเปลี่ยนแปลง "เดอะ แม็กพายส์" โดยการแต่งตั้ง แดน แอชเวิร์ธ จากไบรทตัน

เข้ามาเป็นผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของสโมสร เมื่อปี 2022 ยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับไบรทตัน

โดยไม่ลังเลย ซึ่ง แอชเวิร์ธ คนนี้นี่แหละ คือ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของไบรทตันในช่วง

2 – 3 ปีที่ผ่านมา


แต่งตั้ง ดาร์เรน เอเลส จากแอตแลนต้า ยูไนเต็ดเข้ามาเป็น CEO ทำงานเป็นสมาชิกหลักเป็นผู้นำโครงสร้างของสโมสร


และทำสิ่งที่ได้ใจเหล่า "ทูน อาร์มี่" สุดๆ ก็คือการที่กลุ่มทุนจากซาอุฯ นำชื่อสนาม "เซนส์ เจมส์ พาร์ค" กลับมาอีกครั้ง สร้างความพึงพอใจให้แฟนบอลเป็นอย่างมาก โดยเริ่มต้นกลับมาใช้ชื่อสนาม

"เซนส์ เจมส์ พาร์ค" อีกครั้งในฤดูกาล 2022-2023


ปิดฉากชื่อสนาม "สปอร์ต ไดเร็ค อารีน่า" ของไมค์ แอชลี่ย์ ลงแต่เพียงเท่านี้


เรียกได้ว่า ล้างไพ่ใหม่ทั้งหมดและเริ่มต้นใหม่ ภายใต้การนำทีมของกลุ่มทุนซาอุฯ 





"เซอร์ไพร์ส" ที่คาดไม่ถึงอย่างต่อเนื่องก็คือ ผู้ที่ถูกแต่งตั้งเค้ามาแทนที่ของ สตีฟ บรู๊ซ ไม่ใช่กุนซือชื่อดังระดับโลก ไม่ใช่กุนซือค่าเหนื่อยแพง ไม่ใช่กุนซือบิ๊กเนม แต่กลับกลายเป็นกุนซือว่างงานมาเป็นปีอย่าง "เอ็ดดี้ ฮาวว์" ที่มีชื่อเสียงตอนที่เคยพาบอร์นมัธขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษเท่านั้น


แต่ใครจะคิดละครับว่า "เอ็ดดี้ ฮาวว์" กุนซือชาวอังกฤษวัย 45 ปี คนนี้นี่แหละ คือจุดเริ่มต้น

ในการพา"เดอะ แม็กพายส์" หวนคืนสู่เวทีแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง


"เอ็ดดี้ ฮาวว์" เริ่มต้นเสกนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดในแบบฉบับของเค้าได้อย่างรวดเร็วชนะ 12 เกมจาก

18 นัดสุดท้ายในพรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2021 หนีจากโซนตกชั้นกลับขึ้นมาจบอันดับที่  11 ในตาราง

กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่หนีจากการตกชั้นได้สำเร็จ โดยที่ไม่ชนะใครเลย

14 ในแรกของฤดูกาล


ก่อนเปิดฉากฤดูกาล 2022 – 2023 ทัพสาลิกาดง ถูกคาดหมายว่าจะเริ่มทุ่มเงินซื้อนักเตะระดับโลก

ซื้อซูเปอร์สตาร์ชั้นนำระดับโลกอย่าง เนย์มาร์ หรือคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามาสู่ทีม 


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น กลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เม็ดเงินมหาศาลจากเจ้าของใหม่ ถูกอัดฉีดไปใช้จ่ายเฉพาะในตำแหน่งที่จำเป็น นิวคาสเซิ่ล เสริมทัพด้วยความชาญฉลาด เสริมทีมแบบค่อยเป็นค่อยไป

เน้นไปที่ผู้เล่นที่สามารถใช้งานได้จริง โดยมีราคาไม่สูงมากนัก นักเตะอย่าง นิค โป๊ป สเวน บอตแมน หรือ อเล็กซานเดอร์ อิซัค เข้ามายกระดับ Squad Depth ของทีมได้อย่างลงตัว 




นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เริ่มต้นฤดูกาล 2022-2023 ได้อย่างดุดันไม่เกรงใจใคร 


โชว์ผลงานได้หักปากกาเซียนสุดๆ แพ้เพียงแค่นัดเดียวจาก 23 เกมแรกของพรีเมียร์ลีก ทะยานขึ้นสู่พื้นที่หัวตารางอย่างอุกอาจ โดยนิวคาสเซิ่ล ของเอ็ดดี้ ฮาวว์ เล่นฟุตบอลได้อย่างดุดัน เล่นเกมเพรสซิ่งได้อย่างเร้าใจ 


จุดเด่นจริงๆ ของนิวคาสเซิ่ลในฤดูกาลนี้ คือ เกมรับที่แข็งแกร่ง ไว้ใจได้ แผงหลังสุดแกร่งนำทัพโดย

นิค โป๊ป คีแรน ทริปเปียร์ ฟาเบียน แชร์ สเวน บอตแมน และแดน เบิร์น พานิวคาสเซิ่ลกลายเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก เป็นรองเพียงทีมแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น 




คีแรน ทริปเปียร์ กัปตันทีมและผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของสโมสร คือ อีกหนึ่งความยอดเยี่ยมของนิวคาสเซิ่ลในฤดูกาลนี้ ทริปเปียร์ ทำได้ 1 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ เก็บได้ทั้งหมด 14 คลีนชีต สร้างโอกาสทำประตูในพื้นที่สุดท้ายทั้งหมด 24 ครั้ง และครอสส์บอลมากที่สุดในลีกที่จำนวน 388 ครั้ง 


แดนกลาง บรูโน่ กีมาไรซ์ คือหัวใจของทีมในแดนกลาง เล่นร่วมกับ โจเอลลิงตัน ฌอน ลองสต๊าฟฟ์ และ โจ วิลล็อค ได้อย่างลงตัว 


เกมรุกมีความหลากหลายมากขึ้น สลับกันยิงประตูเป็นว่าเล่น


มิเกล อัลมิร่อน ยกระดับขึ้นมาได้ในช่วงกลางฤดูกาลทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ

อเล็กซานเดอร์ อิซัค ปรับตัวเข้ากับทีมได้แล้ว เช่นเดียวกับ คาลัม วิลสัน ดาวซัลโวประจำทีมในฤดูกาลนี้ เมื่อได้ทำงานร่วมกับกุนซือคู่ใจอย่าง "เอ็ดดี้ ฮาวว์" วิลสันยิงระเบิด กดไปแล้ว 18 ประตูจนถึงตอนนี้ 


และความยอดเยี่ยมทั้งหมดนี้ ต้องยกเครดิตให้แก่ "เอ็ดดี้ ฮาวว์" ยอดกุนซือขมองอิ่มผมสีทองคนนี้นี่แหละครับที่เข้ามายกระดับ เปลี่ยนแปลงนิวคาสเซิ่ลมากมาย จนยกระดับทีมขึ้นมาจบอันดับในพื้นที่ท็อปโฟร์ได้สำเร็จ


ลบความผิดหวังของเหล่า “ทูน อาร์มี่” ได้มากพอสมควรกหลังความพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลคาราวคัพในฤดูกาลนี้ 


ผลจากการคว้าโควตาแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลนี้ จะทำให้ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จะถูกจัดอยู่ในโถที่ 4


ของการจับสลากรอบแบ่งกลุ่มของ UCL เพราะไม่มีค่าสัมประสิทธิ์ในเวทีบอลยุโรปในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา


และมันน่าสนใจจริงๆว่า ทัพสาลิกาดงของเอ็ดดี้ ฮาวว์ จะเสริมทัพอย่างไรในช่วงตลาดซัมเมอร์นี้ ..



 The Toon are back in the big time



และสำหรับใครที่ชอบ ข่าวบอล แบบนี้ก็ฝากติดตามทีมงาน บ้าฟุตบอล ด้วยนะครับ